31 มกราคม 2553

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี

ขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี
http://www.photoontour.com/Gall_SlideShow_HTML/pasak_dam/Mpasak_dam.htm



ข้อมูลทั่วไป
        เป็นเขื่อนที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านแก่งเสือเต้น ตำบลหนองบัว เป็นเขื่อนดินที่มีสันเขื่อนยาวที่สุดในประเทศไทย ช่วยกักเก็บน้ำจากแม่น้ำป่าสัก ซึ่งมีต้นน้ำอยู่ในจังหวัดเลย เขื่อนนี้สร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อป้องกันอุทกภัย และเป็นประโยชน์ต่อการเกษตร การอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่จังหวัดลพบุรี สระบุรี และจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนั้นในบริเวณเขื่อนยังมีพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก ที่แสดงความเป็นมาของเขื่อน และความรู้ด้านธรรมชาติ


การเดินทาง
ทางรถยนต์
        จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) แล้วเลี้ยวขวา เข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านตัวจังหวัดสระบุรี และจากสระบุรีไปประมาณ 33 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3,017 ไปประมาณ 17 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณตัวเขื่อน


ทางรถไฟ
        การรถไฟแห่งประเทศไทย มีบริการรถไฟโดยออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลาประมาณ 07.30 น. โดยจะผ่านจุดชมวิว กิโลเมตร ที่ 172 อัตราค่าโดยสารไป-กลับ ประมาณ 200 บาท และรถไฟโดยสาร สายกรุงเทพฯ-หนองคาย-โคกสลุง ราคาประมาณ 76 บาท แล้วจากนั้นให้ต่อรถไฟท้องถิ่นสายบัวใหญ่-แก่งคอย มาลงที่เขื่อนป่าสัก อัตราค่าโดยสารประมาณ 4  บาท และเที่ยวเดินทางกลับมีขบวนรถไฟ สายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์-กรุงเทพฯ อัตราค่าโดยสารประมาณ 96 บาท

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1690, 223-7010, 223-7020





พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี

พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี
http://lopburi.mots.go.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=538736279&Ntype=2

          พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี โดยชาวเมืองลพบุรีเรียกกันติดปากว่า "วังนารายณ์"

ประวัติ
        พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวังที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2209 บนพื้นที่ 41 ไร่ ณ เมืองลพบุรี เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ล่าสัตว์ ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกเมือง พระองค์ทรงประทับ ณ พระราชวังแห่งนี้ประมาณ 8-9 เดือน ในช่วงปลายรัชกาลและเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม   พ.ศ. 2231

       ภายหลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระนารายณ์ราชนิเวศน์ถูกทิ้งร้าง จนถึงรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดให้บูรณะพระราชวังของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2399 และพระราชทานนามว่า "พระนารายณ์ราชนิเวศน์"

สิ่งก่อสร้างภายในพระราชวัง
         พื้นที่ทั้งหมดภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น 3 เขต คือหลังสิ้นรัชกาลพระราชวังแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไปจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะซ่อมแซมพระราชวังแห่งนี้ และโปรดให้สร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ ปัจจุบันพระนารายณ์ราชนิเวศน์ได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์

เขตพระราชฐานชั้นนอก
มีอาคารที่สร้าง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้แก่
            อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก จากบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าระบบการจ่ายทดน้ำ เป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาลี โดยน้ำที่เก็บในถังเป็นน้ำที่ไหลมาจากอ่างซับเหล็ก โดยผ่านมาทางท่อดินเผาที่เชื่อมมาจากอ่างซับเหล็ก เพื่อนำน้ำมาใช้ภายในพระราชวัง
         สิบสองท้องพระคลัง สันนิษฐานว่าเป็นคลังเก็บสินค้าหรือเก็บสิ่งของเพื่อใช้ในราชการเลี้ยงตึกแขกเมือง ใช้เป็นสถานที่พระราชทานเลี้ยง บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่ามีคูน้ำล้อมรอบตึกภายในมีคูน้ำ มีสายน้ำพุขึ้นมาเหมือนจากฝักบัวรดน้ำ
        ตึกพระเจ้าเหา สันนิษฐานว่าคงเป็นหอพระประจำพระราชวัง และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายในตึก ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้อาจมีชื่อว่า พระเจ้าเหา จึงเป็นที่มาของชื่อตึกแห่งนี้
          ตึกรับรองคณะทูตต่างประเทศ ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า ตึกหลังนี้อยู่กลางอุทยานซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส รอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุพุ่งเรียงรายได้ ระยะยาว 20 แห่ง สมเด็จพระนารายณ์ฯได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตจากประเทศฝรั่งเศส ณ สถานที่นี้ใน พ.ศ. 2228 และ พ.ศ. 2230
         โรงช้างหลวง มีทั้งหมด 10 โรงด้วยกันและช้างที่ยืนโรงอยู่คงเป็นช้างทรงของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือเจ้านาย

 

19 มกราคม 2553

มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร




คติพจน์  ปญญา นรานํ รตนํ   ปัญญาเป็นแก้วของนรชน

ปรัชญา
สร้างคนดี มีปัญญา เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น
     "มหาวิทยาลัยจะสร้างคนดีให้ถึงพร้อมด้วยจริยธรรม คุณธรรม ความรู้ ความสามารถ วุฒิภาวะทางอารมณ์ ความอดทน อดกลั้น ซึ่งนจะนำไปสู่กระบวนการแก้ปัญหาก่อเกิดปัญญา และสร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน"

วิสัยทัศน์
      มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นที่เสริมสร้างคุณธรรม นำความรู้ และเทคโนโลยีสู่การพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป

ภารกิจ
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครมีบทบาทเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มีภารกิจดังนี้
       1. แสวงหาความเป็นจริง เพื่อสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการบนพื้นฐานของภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และภูมิปัญญาสากล
      2. ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม สำนึกในความเป็นไทย มีความรักและผูกพันต่อท้องถิ่น อีกทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในชุมชนเพื่อช่วยให้คนในท้องถิ่นรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การผลิตบัณฑิตดังกล่าวจะต้องให้จำนวนและคุณภาพสอดคล้องกับแผนการผลิตบัณฑิตของประเทศ
      3. เสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในคุณค่า ความสำนึกและความภูมิใจในวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ
       4. เรียนรู้และเสริมสร้างความเข้มแข็งของผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนาและนักการเมืองท้องถิ่นให้มีจิตสำนึกประชาธิปไตย คุณธรรม จริยธรรม และความสามารถในการบริหารงานพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
       5. เสริมสร้างความเข้มแข็งของวิชาชีพครู ผลิตและพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง

      6.ประสานความร่วมมือ และช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างมหาวิทยาลัย ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรอื่นทั้งในและต่างประเทศเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น
      7. ศึกษาและแสวงหาแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีพื้นฐานและเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพของคนในท้องถิ่น รวมถึงการแสวงหาแนวทางเพื่อส่งเสริมให้เกิดการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
     8. ศึกษาวิจัย ส่งเสริมและสืบสานโครงการอันเนื่องมาจากแนวพระราชดำริในการปฏิบัติภารกิจของมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น

โรงเรียนวินิตศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ อ.เมือง จ.ลพบุรี




Winitsuksa School Under Patronage of Princess Maha Chakri Sirindhorn

ที่อยู่ 10 ถ.เพทราชา ต.ท่าหิน อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี 15000 
โทร. 036-411235 โทรสาร. 036-421088

วินิตศึกษา หมายถึง การศึกษาที่ต้องดำเนินตามรูปแบบ คือ วิชาการและคุณธรรม โดยหลวงพ่อพระพุทธวรญาณเป็นผู้ตั้ง

มีอักษรย่อคือ " ว.ศ. " หมายถึง วินิตศึกษา

ตราประจำโรงเรียน ประกอบด้วย งู 2 ตัว พันรอบพาน บนพานมีคัมภีร์ และมีดวงจันทร์เหนือคัมภีร์
  • งู  หมายถึง ปีมะเส็ง ปีเกิดของหลวงพ่อพระพุทธวรญาณ ผู้ให้กำเนิดโรงเรียน
  • คัมภีร์  หมายถึง ตำรา วิชาการต่างๆ
  • พานรองรับคัมภีร์  หมายถึง การศึกษากับศาสนา
  • ดวงจันทร์  หมายถึง สติปัญญา

สัญญลักษณ์รวมทั้งหมด หมายถึง การศึกษา ที่อยู่กับศาสนา จึงทำให้เกิดสติปัญญาที่สมบูรณ์ ส่วนบนมี มงกุฏ และแฉกรัศมี ส่วนล่าง มีข้อความว่า "โรงเรียนวินิตศึกษาในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" เป็นสองแถวโค้ง ตามส่วนของเครื่องหมาย เป็นเครื่องหมายแสดงถึง การได้รับ พระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงรับโรงเรียนวินิตศึกษา ไว้ในพระราชูปถัมภ์ เมื่อ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2534

ประวัติโรงเรียน

         วันที่ 20 พฤษภาคม 2498 พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพุทธวรญาณ (กิตติ บัวอ่อน ปธ.8) อดีตเจ้าคณะจังหวัดลพบุรีกับ คณะศิษย์ 4คน ได้จัดตั้งโรงเรียนวินิตศึกษาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เยาวชนได้รับการศึกษาควบคู่ไปกับการฝึกอบรม คุณธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ให้สามารถประกอบสัมมาอาชีพได้ และดำรงตนอยู่ในสังคมด้วยคุณธรรมอันดี เปิดสอนตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียน 120 คน ครู 7 คน ใช้ศาลาวัดกวิศราราม และอาคารสถานที่ของวัดเป็นที่เรียน โดยท่านเป็นผู้อำนวยการ และมี ครูประพันธ์ ผลฉาย เป็นครูใหญ่

       พ.ศ. 2492 กระทรวงศึกษาธิการให้การรับรองวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล ภายหลังจากได้ดำเนินการสอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษา ได้เพียง 3 ปี และได้ย้ายสถานที่เรียน มาสร้างอาคารถาวรด้านหลังวัด ซึ่งเป็นอาคารเรียนปัจจุบัน โดยมี อาจารย์ประพัฒน์ ตรีณรงค์ เป็นครูใหญ่คนที่ 2 (ต่อจากอาจารย์ ประพันธ์ ผลฉาย) พร้อมกันนี้ได้เปิด สอนชั้น ม.4 - ม.6 (มศ.1 - มศ.3 ปัจจุบัน) ในนามโรงเรียน วิทยาประสิทธิ์ (เพราะการจะเปิดชั้นเรียนเพิ่มสูงขึ้นนั้น เปิดในโรงเรียนเดิมซึ่งได้รับการรับรองวิทยฐานะแล้วไม่ได้ตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น) มีอาจารย์ชั้น ปานบัว เป็นครูใหญ่ โรงเรียนนี้เปิดทำการสอนไม่นาน กระทรวงศึกษาธิการก็รับรองวิทยฐานะ เทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล ในปี พ.ศ. 2495 และหลังจากนั้นก็ยุบเป็น " วินิตศึกษา " แต่เพียง โรงเรียนเดียว โดยหลวงพ่อพระพุทธวรญาณรักษาการตำแหน่งครูใหญ่อยู่ 2 ปี

           ต่อจากนั้น อาจารย์จันทร์ บัวสนธิ์ ก็ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ต่อมาจนสิ้นสุด ปีการศึกษา 2538 ชั้นเรียนเดิม ซึ่งเคยมีตั้งแต่ ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 ก็เปลี่ยน เป็นตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 5 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามระบบการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงใหม่ และได้เปิดชั้น ม.ศ. 4 ม.ศ. 5 และ ม.ศ. 6